อย่าเดินลอดใต้บันได!!! Walking Under a Ladder



หากใครเดินผ่านลอดใต้บันได  จะเจอโชคร้าย!!!

การเดินผ่านบันไดที่วางพาดไว้กับกำแพงหรือผนัง หรือบันไดหน้าอาคาร ที่มีรูปลักษณะเหมือนรูปสามเหลี่ยม ตามความเชื่อของชาวตะวันตกเชื่อกันว่าจะประสพเคราะห์ร้าย

ตามตำนานมาจากเรื่องเล่าเกี่ยวกับการประหารชีวิตนักโทษในสมัยก่อน  ผู้ที่ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอที่หลักประหาร  จะถูกนำไปที่ยอดบนสุดของบันได  แล้วจึงถูกปล่อยห้อยแขวนไว้จนสิ้นใจ  ทำให้เชื่อกันว่า  วิญญาณผู้ตายไม่สงบสุขจึงต้องวนเวียนอยู่ที่ใต้บันไดอยู่เสมอ  

ต่อมา มีการสร้างเวทียกพื้นสำหรับแขวนคอนักโทษที่เรียกกันว่า "กิบเบ็ต" (Gibbet) ก็ยังต้องมีการนำนักโทษเดินผ่านลอดใต้บันไดเวที ก่อนจะถูกส่งตัวขึ้นแขวนกับหลักประหาร ทำให้มีแต่ความหมองหม่นก่อนเสียชีวิต วิญญาณของนักโทษเหล่านั้นจึงไม่อาจไปผุดไปเกิดได้ 

Image result for Gibbet
Gibbet
                                                 

ชาวตะวันตกจึงเกรงกลัวพื้นที่ใต้บันได ที่ไม่ควรไปลอดใต้มันเด็ดขาด  เพราะเมื่อพาดบันไดกับสิ่งใดแล้วบังเกิดเป็นรูปลักษณะสามเหลี่ยม  ซึ่งหมายถึงสัญลักษณ์แห่งพระตรีเอกภาพ  ผู้ใดบังอาจจาบจ้วง รบกวน  หรือดูหมิ่นในสัญลักษณ์ดังกล่าวด้วยการเดินลอดเข้าไปใต้บันได  ก็เท่ากับเป็นการปลุกเร้าให้ปิศาจร้ายตื่นขึ้นมาและจะบังเกิดเคราะห์ร้ายแก่คนผู้นั้น




วิธีแก้เคล็ด: หากว่าเราบังเอิญไปเดินลอดใต้บันไดที่วางพาดอยู่ ให้เดินถอยหลังเป็นรูปวงกลมสองรอบ  จากนั้นก็เดินย้อนเข้าไปใต้บันไดอีกครั้ง  ลักษณะเหมือนการเดินถอยหลังเข้าบันได  และตอนจะผ่านใต้บันไดให้ถ่มน้ำลายสามครั้งผ่านขั้นบันไดออกไป  หรือถ่มน้ำลายลงบนรองเท้าของคุณก็ได้  แล้วรีบถอยออกไปยังที่มั่นใจว่าปลอดภัย  จากนั้นให้ไขว้นิ้วเป็นรูปกากบาทไว้ด้านหลัง  รอจนเห็นสุนัทเดินผ่านมา ก็เป็นอันจบวิธีการแก้เคล็ด

Ref : Field Guide to LUCK




ติดตามเรื่องราวดีๆของเราได้ที่

FB : https://www.facebook.com/Seewriter/

Blog : https://ccheryblackwriter.blogspot.com/

ห้ามกางร่มในบ้านนะ!!! - "Umbrella"






ห้ามกางร่มในบ้านนะ!!! เดี๋ยวโชคร้ายจะมาเยือนนะ หรือ เดี๋ยวจะมีเคราะห์ร้ายเข้ามาในบ้านนะ  หลายคนคงเคยได้ยินผู้ใหญ่ห้ามปรามในทำนองนี้  แล้วทำไมเราถึงจะกางร่มในบ้านไม่ได้ละ??

สัญลักษณ์ของการกางร่มก็คือ การเปิดที่กางกั้นซึ่งมีลักษณะเหมือนกับการครอบคลุมในพื้นที่นั้นๆ โดยปกติแล้วร่มจะเป็นที่กางกั้นของมนุษย์จากสิ่งภายนอกต่างๆ เช่น เมื่อยามฝนตก หรือปกป้องจากแดดร้อน เมื่อเราอยู่ภายนอกบ้าน

แล้วถ้าเรากางร่มในบ้านละ???  มีความเชื่อว่าหากเรากางร่มไว้ในบ้านแล้วเชื่อกันว่าจะนำโชคร้ายมาให้คนผู้นั้น แม้แต่ตำแหน่งที่ผู้ยืนกางร่มอยู่ภายในบ้านนั้นก็จะไม่เป็นมงคลไปด้วย

ในอดีต "ร่ม" (Umbrella) เรียกว่า "พาราซอล (Parasols) หรือ "ฉัตร"  มีความเชื่อว่าหากนำไปกางในบ้าน เชื่อกันว่าเป็นการลบหลู่ดูหมิ่นสุริยะเทพ  หรือเทพแห่งดวงอาทิตย์  เพราะด้วยโครงสร้างหลังคาบ้านนั้น มีไว้เพื่อเป็นที่ปกป้องมนุษย์จากพระอาทิตย์อยู่แล้ว หากเราเอาร่มไปกางซ้อนอยู่ภายในบ้านก็เปรียบดั่งกาารไม่เห็นความสำคัญของลำแสงพระอาทิตย์ หรือหมิ่นพลังแห่งสุริยะเทพ ส่งผลให้เทพแห่งดวงอาทิตย์โกรธกริ้ว จะนำมาซึ่งภยันตรายต่อบุคคลผู้นั้นและภายในสถานที่ในการกางร่มในบ้านนั้นด้วย

ชาวตะวันตกยังถือกันว่า ห้ามนำร่มไปเป็นของขวัญ ห้ามวางร่มไว้บนพื้น และห้ามนำร่มวางไว้บนโต๊ะหรือเตียง มิเช่นนั้นจะต้องประสบพบเจอกับเคราะห์ร้ายแรง

แม้ว่าในเวลาฝนตก หากเราจำเป็นต้องออกไปข้างนอกบ้าน จะต้องให้ก้าวข้ามผ่านธรณีประตู้านไปเสียก่อน จึงค่อยกางร่มออก

ติดตามเรื่องราวดีๆของเราได้ที่

FB : https://www.facebook.com/Seewriter/


Blog : https://ccheryblackwriter.blogspot.com/



Ref : Field Guide to LUCK

กระจกแตก เหตุบอกลางร้าย "Broken Mirror"

Image result for broken mirror vintage
Broken Mirror

"กระจกแตก" (Broken Mirror) เป็นการบอกเหตุที่เป็นลางร้าย  ไม่ว่าการแตก หรือร้าว ของกระจกนั้น จะเป็นไปในแบบตั้งใจหรือบังเอิญ โดยชาวตะวันตกมีความเชื่อว่าจะเป็นการบอกเหตุว่าจะมีลางร้าย หรือโชคร้าย และที่ร้ายแรงกว่านั้นก็คือ อาจจะโชคร้ายไปถึง 7 ปีกันเลยทีเดียว



"สมัยโบราณมีความเชื่อว่า กระจกมีพลังแห่งเวทย์มนต์ซึ่งจะสามารถครอบงำจิตใจของมนุษย์ได้  รวมถึงมีพลังอำนาจเกาะกุมดวงวิญญาณของมนุษย์ได้เช่นกัน  หากกระจกของผู้ใดแตก หรือร้าว ก็เสมือนหนึ่งร่างกายและวิญญาณของเจ้าของกระจกนั้นแตกสลายไปด้วย และเชื่อกันว่าต้องใช้เวลานานถึง 7 ปี กว่าที่สภาพจิตใจจะฟื่นฟูและกลับสู่สภาวะปกติได้"












ในศาสตร์การพยากรณ์ กระจก หรือวัตถุที่มีพื้นผิววาว และมีเงาสะท้อน รวมทั้งเงาบนผิวน้ำ  ต่างเป็นทางผ่านไปสู่มิติแห่งการทำลายล้างสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคต  การแตกของกระจก เป็นสัญญาณบอกถึงการตัดขาดและทำลายสัญญา ระหว่างปัจจุบันและอนาคต



บางความเชื่อ หากบ้านใดมีคนตาย ให้หาผ้ามาคลุมกระจกทุกบานที่อยู่ภายในบ้านไว้ เพื่อช่วยให้ดวงวิญญาณไปสู่สัมปรายภพอย่างสงบสุข  แต่หากดวงวิญญาณเห็นกระจก เชื่อกันว่าดวงวิญญาณของผู้ตายจะถูกดูดเข้าไปและถูกกักขังอยู่ในนั้น ทำให้ไม่สามารถไปสู่สุคติได้

การแก้เคล็ดก็มีหลากหลายวิธี ลองนำไปใช้กันดูนะคะ 
  • ต้องรอให้ครบ 7 ชั่วโมง นับเวลาจากที่กระจกแตก ( 1 ชั่วโมง = 1 ปี)  จากนั้นก็ให้รวบรวมเศษกระจกที่แตกมารวมกัน แล้วนำไปฝังดินไว้นอกบ้านใต้แสงจันทร์ในเวลากลางคืน และให้รีบหันหลังกลับ อย่าเหลียวมองเป็นอันขาด
  • ให้ป่นเศษกระจกให้ละเอียดเป็นผุยผง  โดยไม่ให้เหลือเงาสะท้อนเดิม ก็สามารถแก้เคล็ดได้
  • ให้เดินหมุนทวมเข็มนาฬิกาสามรอบหน้า หน้ากระจกที่แตก จากนั้นให้นำกระจกที่แตกไปแตะกับป้ายหินบนหลุมฝังศพในสุสาน
Ref : Field Guide to LUCK






ติดตามเรื่องราวดีๆของเราได้ที่

FB : https://www.facebook.com/Seewriter/

Blog : https://ccheryblackwriter.blogspot.com/

สาวสวยในคาสิโน "Lady Lucky"





"Lady Lucky"  แปลว่า "เทพีแห่งโชค"  หรืออีกนัยหนึ่ง แปลว่า "โชคดีที่มาจากสตรีเพศ"  และมักเชื่อถือกันมากในกลุ่มนักพนันในบ่อนคาสิโนว่า  สตรีนางนั้นจะนำมาซึ่งโชคลาภให้กับตน  ซึ่งส่วนใหญ่ในบ่อนคาสิโนเรามักจะเห็นบรรดานักพนันควงคู่มากับผู้หญิงสาวสวยเสมอ

ตามตำนานของกรีกโบราณกล่าวว่า "Lady Lucky" หมายถึง "เทพีฟอร์จูน่า" (Fortuna)  หรือออกเสียงตามภาษากรีกว่า "ไทคี" (Tyche) ซึ่งเป็นเทพีของจักวรรดิโรมันในสมัยโบราณ  ได้รับการยกย่องเป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์  เทพีแห่งโชคชะตา เทพีแห่งโชคชะตา  เทพีแห่งโอกาส  และเทพีแห่งโชค (คำว่า Fortune มาจากชื่อของ Fortuna นั่นเอง)

ตามตำนานเล่าว่า เทพีฟอร์จูน่าคือผู้หมุนวงล้อของชีวิตของมนุษย์  หรือที่เรียกว่า "วงล้อแห่งโชคชะตา"  (Wheel of Fortune)  ด้วยการปั่นด้ายไปตามวงล้อเพื่อกำหนดชะตาชีวิตของมนุษย์แต่ละคนตามที่สวรรค์ได้ลิขิตเอาไว้

ในบ่อนการพนัน นักพนันทั้งหลายจะชอบถามกันว่าผู้หญิงคนไหนเป็นผู้เขย่าลูกเต๋า เพราะผู้หญิงที่เป็นผู้เขย่าลูกเต๋านั้น  จะมีหน้าตาที่สวยสดงดงามมาก ซึ่งนักพนันเหล่านันจะพากันมาห้อมล้อมเธอเพิ่อมาชื่นชมความงาม และหวังว่าเธอจะเป็นเทพีนำโชคมามอบให้

นี่ก็คือเหตุผลที่เรามักจะเห็นนักพนันทั้งหลายในบ่อนคาสิโน พาผู้หญิงสวยๆมาอยู่เคียงข้าง เพื่อหวังว่าพวกเธอจะเป็นเสมือนเทพีนำโชคให้กับเขา เปรียบประหนึ่งว่าเธอนั้นคือเทพีนำโชคผู้คอยหมุนวงล้อแห่งโชคชะตา พัดพาลูกเต๋าของความร่ำรวยมาให้เข้าเพียงคนเดียว


ติดตามเรื่องราวดีๆของเราได้ที่

FB : https://www.facebook.com/Seewriter/


Blog : https://ccheryblackwriter.blogspot.com/



Ref : Field Guide to LUCK

คุ้กกี้เสี่ยงทาย "Fortune Cookie"



คุ้กกี้เสี่ยงทาย "Fortune Cookie"  บางที่ก็เรียก "คุ้กกี้ทำนายดวง"  หรือเรียก "ขนมดวง" 
ลักษณะเป็นขนมที่ทำจากแผ่นแป้งบางๆ รสชาติหวานกรอบ คล้ายๆ คุ้กกี้  รูปร่างคล้ายพระจันทร์เสี้ยว
ข้างในจะใส่กระดาษที่เขียนหมายเลขนำโชคบอกคำทำนายเอาไว้ บ้างก็เขียนคำอวยพร  หรือคำคมด้วยภาษาจีน

คุ้กกี้เสี่ยงทายจะนำมาแจกให้แก่ลูกค้าในร้านอาหารจีน หรือภัตตาคารจีน เมื่อจบมื้ออาหารและเรียกเก็บคิดเงิน เสิร์ฟพร้อมกับผลส้มที่ฝานเป็นแผ่นบางๆ พร้อมกับน้ำชาในถ้วยใบเล็กๆ คุ้กกี้เสี่ยงทายเป็นที่โด่งดังมากในร้านอาหารจีนของสหรัฐอเมริกา

คุ้กกี้เสี่ยงทายไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน และคนจีนเองก็ไม่รู้จักมัน คุ้กกี้เสี่ยงทายถูกคิดขึ้นเมื่อราวๆต้นศตวรรษที่ 20  ในภัตตาคารจีนแห่งหนึ่งในซานฟรานซิสโก ซึ่งเป็นไอเดียทีทำขึ้นโดยชาวอเมริกัน

เมื่อคุณได้ลิ้มรสชาติอาหารในภัตตาคารจีนต่างๆจนอิ่มหน่ำสำราญแล้ว เมื่อถึงเวลาเช็คบิลค่าอาหาร พนักงานของร้านจะเสิร์ฟขนมคุ้กกี้เสี่ยงทาย พร้อมด้วยแผ่นบางๆของผลส้มกับน้ำชารสกลมกล่อมหนึ่งถ้วยเล็ก

มันเป็นเหมือนกับโชคชะตาชักนำให้หมายเลขและข้อความมงคลเหล่านี้มาหาตัวคุณ  เมือคุณกัดหรือหักแผ่นคุ้กกี้ให้แตกออก  ก็จะปรากฎแผ่นกระดาษชิ้นเล็กๆ  ซ๋อนอยู่ภายใน  ข้อความต่างๆในนั้นจะเป็นคำมงคลที่มีความหมายดีๆ  หรือเป็นคำคม คำอวยพร  และคำทำนายที่ดีๆ ที่เป็นเป็นภาษาจีน พร้อมคำแปลเป็นภาษาอังกฤษ  ขนมคุ้กกี้ไม่ได้มีความอร่อยกว่าขนมทั่วๆไป แต่ความสนุกอยู่ที่การลุ้นว่าข้างในจะมีคำว่าอะไรเขียนไว้มากกว่า

เมื่อวันที่  30 มีนาคม 2005 มีการออกสลากเสี่ยงโชคของชาวอเมริกา มีผู้ถูกรางวัลเลขห้าตัว ของ U.S Powerball Lottery จำนวนถึง 110 คน  ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับเจ้าหน้าที่สำนักงานสลาก จึงได้ทำการสอบถามถึงที่มาของผู้โชคดี 110 คน ผลปรากฎว่าผู้โชคดีทั้งหมดล้วนแต่เล็กแทงสลากจากหมายเลขบน "ขนมคุ้กกี้เสี่ยงทาย" ที่ได้รับจากภัตตาคารจีนในนิวยอร์คและคุ้กกี้เสี่ยงทายนี้ก็ล้วนแต่ผลิตมาจากบริษัทวอนตอนฟู้ด  ซึ่งมีโรงงานอยู่ที่เมืองควีนส์  รัฐนิวยอร์ก ทั้งสิ้น

ติดตามเรื่องราวดีๆของเราได้ที่

FB : https://www.facebook.com/Seewriter/


Blog : https://ccheryblackwriter.blogspot.com/



Ref : Field Guide to LUCK

"อะลาดิน กํบ ตะเกียงวิเศษ"



ใครหลายคนคงเคยได้ฟังนิทานเรื่อง "อะลาดิน กํบ ตะเกียงวิเศษ" มากันบ้างแล้ว
ซึ่งคำว่า อะลาดิน มาจากภาษาอาหรับคือ "อาลาอุด-ดิน"  (Ala 'ad-Din)  หมายถึง จิตใจอันภักดี ส่วนคำว่า "จินนี่" (Jinni)  หรือ "ดีนนี่" (Djinni) ซึ่งเป็นชื่อของปิศาจที่ทรงพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่

ซึ่งเหตุบังเอิญเมื่อเจ้าหนุ่มผู้มีนามว่า อะลาดิน ได้ตะเกียงวิเศษมาครอบครอง แล้วบังเอิญไปถูตะเกียงใบน้้นเข้า  อยู่ๆเจ้ายักษ์จินนี่ก็ปรากฎร่างออกมาจากตะเกียง โดยสามารถมอบพรวิเศษให้กับของเป็นเจ้านายของมันได้ทุกประการ

มีความเชื่อของชาวอาหรับสืบต่อกันมาว่า ในทุกๆคืนที่พระจันทร์เต็มดวงนั้น เจ้ายักษ์จินนี่จะออกมาจากตะเกียงวิเศษ เพื่อมอบพรอันแสนวิเศษให้กับผู้เป็นเจ้านายของมัน  ในคืนนี้ผู้ที่มีตะเกียงวิเศษอยู่ที่บ้าน ก็จะทำการขัดๆถูๆตะเกียง และอธิษฐานขอพรจากยักษ์จินนี่ ให้สมความปรารถนา

ติดตามเรื่องราวดีๆของเราได้ที่

FB : https://www.facebook.com/Seewriter/


Blog : https://ccheryblackwriter.blogspot.com/



Ref : Field Guide to LUCK

"Arabian Nights" พันหนึ่งราตรี


"Arabian Nights" หรือเป็นทีรู้จักกันทั่วไปในชื่อ "The Book of One Thousand and One Nights 
หนังสือเล่มนี้เป็นมหากาพย์ของอาหรับ ผ่านการเล่าขานจากพระนางเซเฮอร์ซาเด

เนื่องมาจากความหวาดระแวงของพระเจ้าซาห์เรียร์  ที่ไม่เคยวางพระทัยในมเหสีองค์ใด 

พระองค์ทรงกริ้วที่พระมเหสีองค์แรกลักลอบคบชู้  จึงมีรับสั่งให้ประหารชีวิตพระนางเสีย

จากนั้นมา เมื่อใดที่พระองค์ทรงอภิเษกกับหญิงพรหมจรรย์นางใด ก็จะร่วมบรรทมเพียงราตรีเดียว

เมื่อรุ่งอรุณ หญิงนางนั้นก็ต้องโทษประหารชีวิตทุกรายไป

เมื่อพระนางเซเฮอร์ซาเด ถวายตัวเป็นพระมเหสีองค์ใหม่ พระนางจึงทรงใช้อุบายในการเล่านิทานอันมหัศจรรย์และสนุกสนาน เพื่อยืดระยะเวลาให้เนิ่นนานออกไปวันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า แต่ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม พระนางก็จะเล่าไม่จบในคืนนั้น  และจะค้างเรื่องที่กำลังสนุกไว้ เช่นนั้น  


ทำให้พระเจ้าซาห์เรียร์จำเป็นต้องให้พระนางมีชิวิตอยู๋ต่อไปอีกวันหนึ่งและอีกวันหนึ่ง เพื่อฟังเรื่องเล่านิทานนั้นๆให้จบ  แต่นิทานต่างๆ  ที่แสนสนุกสุดมหัศจรรย์เหล่านี้  จะเล่าค้างคาเช่นนั้นคืนแล้วคืนเล่า  


จนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไปยาวนานถึงหนึ่งพันราตรีกับอีกหนึ่งคืน  พระองค์จึงตัดสินพระทัยละเว้นการประหารพระนางในที่สุด และนี่เองเป็นที่มาของคำว่า "พันหนึ่งราตรี" ซึ่งในปัจจุบันก็ได้มีผู้นำเอาเค้าโครงเรื่องจากหนังสือมาสร้างเป็น หนัง ละคร การ์ตูน และซีรี่ย์ต่างๆ ไว้มากมาย


โดยนิทานเรื่อง "อะลาดิน กับ ตะเกียงวิเศษ "ก็เป็นหนึ่งในนิทานหลายๆเรื่อง ในพันหนึ่งราตรี


ติดตามเรื่องราวดีๆของเราได้ที่

FB : https://www.facebook.com/Seewriter/


Blog : https://ccheryblackwriter.blogspot.com/



Ref : Field Guide to LUCK

น้ำเต้านำโชค "Gourd"



น้ำเต้านำโชค  สัญลักษณ์แห่งความโชคดี และการมีอายุยืนยาว ของลัทธิเต๋าและนิกายมหายาน

ศาสตร์ของฮวงจุ้ยแล้วมักเรียกน้ำเต้าว่า "หูหลู่" (Wo Lou หรือ Hu Lu)  ใช้เพื่ออวยพรให้มีสุขภาพแข็งแรงและอายุยิน 



จากตำนานเซียนสององค์ของประเทศจีน คนแรกคือ

"โซ่วซิง" (Sau Sing)  หรือ "เทพดาวโซ่ว" (คนไทยนิยมเรียกว่า "ซิ่ว" เป็นองค์หนึ่งของเซียนทั้งสาม คือ ฮก ลก ซิ่ว)  ท่านโซ่วเป็นสัญลักษณ์ของอายุวัฒนะและจะพกน้ำเต้าไว้ติดตัวตลอดเวลา  


เทพดาวโซ่ว

ฮก ลก ซิ่ว


ส่วนอีกเซียนอีกองค์นั้นก็คือ

"หลี่เถียวไกว่" (Li Tie Guai)  ผู้เป็นหนึ่งในแปดเซียนหรือโป๊ยเซียน (คนไทยเรียกว่า "เซียนลิ้ทิก๋วย")  ตามตำนานเล่าว่า เซียนผู้นี้จะนำน้ำอัมฤตเก็บรักษาไว้ในน้ำเต้าและสามารถนำมาใช้ชุบชีวิตคนตายให้กลับฟื้นคืนชีพได้  
หลี่เถียวไกว



เทพแปดเซียน หรือ โป๊ยเซียน
เทพแปดเซียน หรือ โป๊ยเซียน

"น้ำเต้า" (Gourd)  เป็นสิ่งที่สร้างจากการขุดเปลือกไม้ให้กลวง  เพื่อนำมาใช้ประโยชน์จากช่องว่างนั้น  รูปร่างจะคล้ายกับพืชตระกูลแตง  ด้วยรูปร่างที่ประหลาดของน้ำเต้า จึงมีการดัดแปลงมาทำเป็นถ้วยชามไว้สำหรับใส่สุรา  หรืออาจใช้เป็นเครื่องดนตรีเพราะมีเสียงดังกังวานคล้ายกลอง  บางคนก็นำมาใช้ปักแจกันดอกไม้




เคล็ดเรื่องโชคลาง : นิยมนำน้ำเต้าจำลองขนาดเล็ก มาทำเป็นเครื่องประดับ เช่น สร้อยคอ ,กำไลข้อมือ เชื่อกันว่าใส่แล้วจะปลอดภัย แคล้วคลาดจากอุบัติเหตุ และไม่มีโรคภัยมาเยือน





ติดตามเรื่องราวดีๆของเราได้ที่

FB : https://www.facebook.com/Seewriter/

Blog : https://ccheryblackwriter.blogspot.com/


Ref : Field Guide to LUCK

แมวเอ๋ยแมวกวัก "Maneki Neko"



แมวกวัก คืออะไร??? เวลาเราไปร้านอาหารญี่ปุ่น หรือจีน มักจะเห็นวางตั้งอยู่ใกล้ที่เก็บเงิน



ตามควมเชื่อแบบญี่ปุ่นจะหมายถึงการกวักเงินทอง  กวักความร่ำรวยเข้ามา  ให้แก่ผู้เป็นเจ้าของ


ชาวญี่ปุ่นมักจะเรียกว่า "มะเนะกิ เนะโกะ"  (Maneki Neko)  ซึ่งคนไทยมักจะเรียกกันว่า "แมวกวัก"

ตามตำนานเล่าว่า  เมื่อสมัยเอโดะ (ราวปี ค.ศ. 1603 - 1867)  เล่ากันว่า  มีขุนนางผู้ทรงคุณธรรมผู้หนึ่ง ขณะที่กำลังขี่ม้าเดินทางผ่านวัดแห่งหนึ่ง  ก็เห็นแมวตัวหนึ่งนั่งอยู่บนขั้นบันได  ทำท่าเหมือนจะกวักเรียกเขา  ด้วยความแปลกใจและอยากรู้อยากเห็น  จึงหยุดม้าแล้วก้าวลงเดินไปที่แมวตัวนั้น  ทันใด!!!  ก็เกิดสายฟ้าฟาดเปรี้ยงมาตรงจุดที่เขาเพิ่งหยุดม้า  ทำให้เขารอดตายอย่างหวุดหวิดและเกิดความซาบซิึงใจที่เจ้าแมวตัวนั้นได้กวักมือเรียกเขาให้พ้นจากความตายอย่างเฉียดฉิว  

ในเวลาต่อมา ขุนนางผู้นั้นจึงได้บริจาคที่ดินและเงินก้อนใหญ่ให้แก่การบูรณะวัดแห่งนี้  และเรื่องราวนี้ก็ได้แพร่หลายออกไป และเป็นตำนาน "แมวกวัก" ในที่สุด

อีกหนึ่งตำนาน  เล่าว่า  หญิงชราผู้ยากจนได้เลี้ยงแมวด้วยความรักและเมตตาไว้ตัวหนึ่ง  และได้เจียดอาหารของตนในแต่ละวันไปให้แมว  จนวันหนึ่งไม่สามารถเลี้ยงแมวต่อไปได้  จึงจำใจปล่อยมันไป  นางก็ได้ร้องไห้เสียใจเพราะคิดถึงแมว  ในคืนนั้นเอง นางฝันว่าเจ้าแมวตัวนั้นมาบอกให้นางปั้นรูปปั้นแมว  ด้วยดินเหนียว  แล้วจะโชคดี  ปรากฎว่ามีผู้คนมาเห็นเข้าและขอซื้อตุ๊กตาแมวดินเหนียว เป็นจำนวนมาก  จนนางเก็บเงินจากการขายรูปปั้นแมวได้มากพอที่จะนำแมวตัวนั้นกลับมาเลี้ยงได้ต่อไป




ลักษณะการกวัก : 

  • หากแมวกวักยกมือข้างซ้าย หมายถึงการกวักเรียกลูกค้าให้เข้าร้านมากๆ
  • หากแมวกวักยกมือข้างขวา หมายถึงการกวักเรียกทรัพย์สินเงินทองเข้ามามากๆ





วางไว้ตรงไหน :  
ปัจจุบันได้มีการนำมาใช้กับหลักฮวงจุ้ยเพื่อวางแมวกวักไว้ตามจุดต่างๆ เช่น

  • ตรงทางเข้า ตรงจุดที่ดึงดูดสายตาลูกค้า เช่น ขอบหน้าต่างโชว์สินค้า
  • วางไว้ตรงโต๊ะเก็บเงินของแคชเชียร์ หรือ โต๊ะประชาสัมพันธ์  
  • ตั้งไว้หลังกระจกหน้ารถเพื่อเรียกลูกค้าขึ้นรถแทกซี่



ในปี 2007 ทางไนกี้ ได้ผลิตรองเท้าผ้าใบรุ่นพิเศษ เรียกว่า รุ่น "Nike SB Maneki Neko" หรือรุ่นแมวกวัก  สไตล์ญี่ปุ่น  ลายและสีประจำตัวของแมวกวัก คือ สีขาว แดง ดำ ทอง  ตัวรองเท้ามีข้อความว่า "Feeling Lucky" และ "Get That Money"












ติดตามเรื่องราวดีๆของเราได้ที่

FB : https://www.facebook.com/Seewriter/

Blog : https://ccheryblackwriter.blogspot.com/




Ref : Field Guide to LUCK

โปรยเกลือ ขับไล่ปิศาจ "Spilling Salt"




โปรยเกลือ ขับไล่ปิศาจ "Spilling Salt" ตามความเชื่อของชาวตะวัน  ถ้าใครทำเกลือหกตกพื้น  หรือตั้งใจทำเกลือตกระหว่างการปรุงอาหาร จะเป็นลางร้าย  อาจนำมาซึ่งความสูญเสียญาติพี่น้องในครอบครัว

ในอดีต "เกลือ" เป็นดังวัตถุหนึ่งของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีสัญลักษณ์ของการพิทักษ์ปกป้อง ในสมัยโบราณ  ทหารโรมันยอมทำสงครามเพื่อให้ได้เกลือมากยิ่งกว่าต้องการทรัพย์สินเงินทอง ถึงกับมีการตีราคาให้สูงมากกว่าทาสเสียอีก

เนื่องจากเกลือเป็นดังวัตถุศักดิ์สิทธิ์  จึงมีการโรยเกลือ  การโปรยเกลือ  สาดเกลือ หรือวางเกลือไว้ ทั้งหมดนี้ล้วนแต่กระทำขึ้นเพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้ายทั้งสิ้น  หากใครที่การละเลยเกลือ หรือทิ้งเกลือ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการไม่เห็นคุณค่าของเกลือ เชื่อกันว่าจะชักนำปิศาจติดตามคนผู้นั้นอยุ่ด้านหลัง

วิธีแก้เคล็ด : กระทำโดยการโยนเกลือหนึ่งหยิบมือ  โปรยข้ามไหล่ซ้ายไปด้านหลัง  ซึ่งเปรียบเสมือนการสาดเกลือใส่หน้าของปิศาจหรือสาดใส่นัยย์ตาของปิศาจให้ได้รับความเจ็บปวดและหนีไป


ติดตามเรื่องราวดีๆของเราได้ที่

FB : https://www.facebook.com/Seewriter/

Blog : https://ccheryblackwriter.blogspot.com/



Ref : Field Guide to LUCK